เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ พ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑พฤษภาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะตั้งใจฟังธรรมๆฟังธรรม เรามาวัดมาวาเพราะเรามาทำบุญกุศล นั่นน่ะใช่มาทำบุญกุศลทำบุญกุศลด้วยหัวใจ แต่ใครทำบุญกุศลด้วยสติด้วยปัญญานะ เขาจะได้บุญกุศลของเขาด้วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย คนทำบุญกุศลโดยสักแต่ว่าๆ สักแต่ว่าก็ทำแบบโลกๆโลกๆ ทำตามหน้าที่ ทำเป็นสักแต่ว่า มันไม่ดูดดื่ม มันไม่เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาไง

แต่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะเวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ธรรมะเป็นของจริง ต้องคนจริงเท่านั้นถึงจะได้ความจริงอันนั้นธรรมะเป็นของจริง

แต่เราไม่จริง เราไม่จริงเราลูบๆ คลำๆมันไม่จริงหรอกเราไม่ได้ความจริงไง เห็นไหม ดูทางโลกเขาศึกษา ทั้งๆ ที่เป็นความจริงนะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะเป็นธรรมชาติๆพวกเราก็ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ศึกษาธรรมะ เราเข้าใจธรรมชาติหมดเลย แล้วก็วางธรรมชาติไว้ วางไว้หมดเลย เราเป็นผู้วิเศษเพราะอะไรเพราะมันเป็นธรรมชาติอยู่ข้างนอกไง พญามารมันอยู่ในหัวใจเป็นธรรมชาติไหม

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นธรรมชาติ มันแปรปรวนเป็นเรื่องธรรมชาติของมัน แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราเป็นของจริง ทิฏฐิมานะของเราเป็นของจริง อยากจะเอาชนะคะคานเขาเป็นของจริงอยากจะมีชื่อเสียง อยากจะเป็นของจริง เอาเป็นความจริงไงนี่พญามารๆ ไง

ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติสรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติหมดแต่ธรรมชาติอันนั้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ศึกษา ได้ค้นคว้า ได้พิจารณาแล้วแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริงไง เวลาปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริง ไม่ได้ปล่อยวางที่ธรรมชาตินั้นปล่อยวางที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น อาสวักขยญาณชำระล้างอวิชชาในหัวใจอันนั้นทำลายพญามารไง พญามารๆ ที่มันครอบคลุมสัตว์โลก พญามารๆ ที่มันบัญชาการไง เจ้าวัฏจักร กามภพรูปภพ อรูปภพ

เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้เป็นความจริง ความจริงอันหนึ่ง ใครจะปฏิเสธอย่างไรวิทยาศาสตร์พยายามพิสูจน์พยายามค้นคว้าขนาดไหน เขาจะค้นคว้าของเขาไม่ได้ มิติๆ การข้ามมิติ ดูสิ เวลากล้องถ่ายรูปย้อนแสง เขาย้อนไปเมื่อวานนี้ เขาพยายามย้อนของเขา มันเป็นวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์กันอย่างนั้นไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกอริยสัจ สัจจะความจริงไงทุกข์ ที่ไหนมีความทุกข์ไงความทุกข์ความยากในหัวใจนี้ความทุกข์ความยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ควรกำหนดๆเราก็บอกไปละทุกข์ เอาทุกข์มาโยนทิ้ง ทุกข์ขึ้นมาแล้วปฏิเสธมันเลย...ปฏิเสธไปเถอะ ปฏิเสธจนตายมันก็ทุกข์

ทุกข์มันเกิดจากอะไรเห็นไหม ทุกข์ควรกำหนดสมุทัยควรละตัณหาความทะยานอยากความต้องการความปรารถนาความไม่รู้เท่าอันนั้นน่ะ นั่นน่ะมันเหตุให้เกิดทุกข์เหตุให้เกิดทุกข์มันอยู่ที่สมุทัยไงสมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ภวตัณหาวิภวตัณหานั่นน่ะตัณหาความทะยานอยากอันนั้นมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ นิโรธๆ ทุกข์ดับ ดับด้วยอะไรดับด้วยวิธีการดับทุกข์ นิโรธๆมันดับ นิโรธรู้แจ้ง คำว่า“นิโรธ” นิโรธของมรรคนะนิโรธของมรรคคือรู้แจ้งแทงตลอดในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

“นิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัติ” ไอ้นั่นมันนอนหลับนิโรธสมาบัติมันก็ไปหลับอยู่นั่นไง นิโรธก็นิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัติส่วนนิโรธสมาบัตินิโรธสมาบัติแล้วก็มาแอ๊กกันไง “ใครเข้านิโรธได้อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี แล้วฉันเข้าได้นี่ฉันจะเป็นพระอะไร” นี่พญามาร

ตำราว่าไว้อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงความจริงมันเป็นอย่างไร ถ้าความจริง สัจจะความจริง สัจจะความจริงเริ่มต้นเรามาวัดมาวา เรามาทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลเพื่ออะไร ทำบุญกุศลให้จิตใจนี้มันเพิ่มอำนาจวาสนาบารมีอำนาจวาสนานะถ้าอำนาจวาสนาธรรมะเป็นธรรมชาติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติแล้วนะ แม้แต่ใบไม้หลุดจากขั้วใบหนึ่ง เห็นแล้วมันสลดสังเวชไง ตั้งแต่ใบไม้อ่อน มันแก่ของมัน พอถึงอายุขัยมันก็หลุดจากขั้วของมันไป มันเป็นเช่นนี้ชีวิตสัตว์โลกก็ต้องเป็นเช่นนี้ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาย้อนกลับมาทวนกระแสกลับ เขาย้อนกลับมาใบไม้มันหลุดใบหนึ่ง ผู้ที่พิจารณาแล้วถึงสิ้นสุดแห่งกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ไอ้เราอยู่ในป่า ต้นไม้มันหลุดวันหนึ่งเป็นพันๆ ใบ มันหลุดแล้วหลุดเล่า เราได้อะไร เรามีสติปัญญาไหมธรรมชาติหรือธรรมชาติมันก็แปรปรวนอยู่นั่นไง แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจเราเป็นธรรมชาติไหมมันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้ใครเห็นมันไงเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นมัน มันถึงไม่เป็นปัจจัตตังไง มันถึงไม่เป็นสันทิฏฐิโกไง มันไม่เป็นผู้ที่ถอดที่ถอนไงเวลาศึกษาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์อนุปุพพิกถาตั้งแต่เริ่มต้น คนทุกข์ คนจน คนเข็ญใจ ชีวิตนี้ตรากตรำลำบากยากแค้นนัก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โปรดไง ให้เสียสละทาน ให้ความเสียสละ เสียสละเพื่อเหตุใด เสียสละ เราแสวงหามา เราคนทุกข์คนจนเข็ญใจ สิ่งที่เราจะหามา เราเอาชีวิตเข้าแลกมาเชียวนะ แล้วเราต้องมาเสียสละ เสียสละเพื่อเหตุใด เสียสละเห็นไหม ความทุกข์ความจนอันนี้มันเกิดมาเพราะเหตุใด ดูสิเวลาคนอยู่ข้างเรา เขาเกิดมาเขามั่งมีศรีสุขของเขา

เวลาธรรมะบอกว่ากรรมคือการกระทำ การทำดีทำชั่วมา พอทำชั่วมา วิบากกรรมวิบากกรรมของแต่ละสัตว์โลกเวลาวิบากกรรมของสัตว์โลกทางวิทยาศาสตร์ก็มาวิเคราะห์วิจัยกัน แบบว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบกันเป็นระบบอุปถัมภ์ค้ำชูกันแล้วไอ้พวก ๑๘มงกุฎก็มาหน้าไหว้หลังหลอกพยายามจะว่าบุญกุศลๆ

บุญกุศลมันอยู่ที่เจตนาบุญกุศลมันอยู่ที่หัวใจ สิ่งที่อนุปุพพิกถาให้เสียสละทาน การเสียสละนั้นเสียสละด้วยหัวใจของเขา เสียสละด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ผุดผ่องของเขา ถ้าเสียสละอย่างนั้นเสียสละสิ่งนี้ไปแล้ว แล้วพอถ้ามันเป็นจริงในหัวใจ มันเหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้าถ้ามันมีไฟฟ้า เราเปิดไฟ ไฟก็สว่างใช่ไหมเวลาไฟมันดับเปิดเท่าไรมันก็ไม่ติด เปิดเท่าไรมันก็ไม่ติดไง

หัวใจก็เหมือนกัน ถ้ามีเจตนา มีความเชื่อของเรา มันมีพลังงานของมันพลังงานอันนี้เสียสละด้วยความภูมิอกภูมิใจ เสียสละอย่างนี้ไป มันฝึกหัวใจให้ผ่องแผ้วไง มันฝึกหัวใจให้มันเข้มแข็งขึ้นมาไงนี่เสียสละทานอนุปุพพิกถานะถ้าทำทานด้วยความสะอาดบริสุทธิ์อย่างนั้นเวลาสิ่งที่ทำคุณงามความดีนะถ้าได้ผลก็ไปเกิดบนสวรรค์ ได้ไปเกิดเป็นเทวดาเป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วถ้าในปัจจุบันนี้ให้ถือเนกขัมมะไง ให้ถือเนกขัมมะจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เข้าใจ เห็นไหม

เวลาบอกว่าทำบุญๆ บุญมันคืออะไร ทำแล้วมันได้อะไรทำไปเพื่ออะไร ก็คิดกัน หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง คิดว่าเราต้องได้ตามวิทยาศาสตร์ตามคณิตศาสตร์ที่เราคิดกันนี่ แล้วเราก็ทำเสียสละเสียสละแกร็นๆไง เสียสละ เราให้ไปแล้วหนึ่งมันต้องบวกมาเป็นสอง มันปรารถนาไงทำบุญอย่างนี้มันเลยไม่ได้สิ่งใดเลยไง

แต่ถ้าทำบุญของเรานะเราทำบุญด้วยเจตนาของเราทำบุญด้วยสติปัญญาของเราพอทำแล้วมันสะเทือนหัวใจเหมือนไฟฟ้าเปิดปั๊บมันก็ติดสว่าง

ไฟมันดับเปิดเท่าไรมันก็ไม่ติดหรอก กดแล้วกดอีก ไฟมันไม่มี ทำไมบ้านนู้นมันเปิดแล้วไฟมันติดล่ะ ไอ้บ้านเราเปิดแล้วไฟมันไม่มีล่ะ นี่ไง ดูสิ ดูสติปัญญาของคน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงระดับของทาน ระดับของทานแล้วให้ถือเนกขัมมะแล้วถึงให้ออกบวช เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการกับผู้ที่ทุกข์จนเข็ญใจเห็นไหม

“คนรวยสิต้องเสียสละคนรวยเขามีแล้วเขาทำทานของเขาได้ ไอ้เราคนทุกข์ คนจน คนเข็ญใจมันไม่มีแล้วจะเอาอะไรไปเสียสละล่ะ ถ้าเสียสละแล้วมันก็ไม่มีจะกินน่ะ” นี่เวลามันคิด มันคิดแบบโลกๆ ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะความจริง สัจจะความจริงในหัวใจ สิ่งที่หัวใจ เห็นไหมสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ คนจะมั่งมีศรีสุข คนจะทุกข์จนเข็ญใจเหมือนกัน เวลาอยู่ที่ไหนมันก็ทุกข์เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ คนจนก็ทุกข์แบบคนจนคนรวยก็ทุกข์แบบคนรวยเศรษฐีก็ทุกข์แบบเศรษฐี ใครจะมีสถานะใดก็ทุกข์แบบคนนั้นทั้งนั้นน่ะ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง

สัตว์โลกที่เกิดมาทุกๆดวงใจ ทุกดวงใจมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจๆ แล้วทุกดวงใจนะ ถ้าทุกดวงใจว้าเหว่การเสียสละนั้นก็เพราะให้หัวใจมันเข้มแข็งขึ้นมาไง ให้หัวใจมันไม่ว้าเหว่ไงให้หัวใจมันมีที่พึ่งไง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึกของเราไง

ถ้าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นความจริงนะไม่ใช่ ๑๘ มงกุฎ๑๘ มงกุฎไม่ต้องไปพูดถึงมัน ๑๘มงกุฎ ยก ๑๘มงกุฎไว้ แต่ถ้าเราเอาจริง เอาจริงของเรา เราจะเอาพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเราเราทำเสร็จแล้วมันปลื้มอกปลื้มใจ แล้วปลื้มอกปลื้มใจ พอกลับไปทำหน้าที่การงาน เหมือนเดิมนั่นแหละ มันทำแล้ว จากที่ทำแกร็นๆ ทำแล้วมันทุกข์มันจนเข็ญใจนะ แต่ถ้ามันทำบุญแล้วเออ! เราทำของเรามาอย่างนี้เองก็เราทำของเรามา

เวลาภาวนาก็เหมือนกัน เวลาภาวนาเราทำของเรามาขิปปาภิญญา ผู้ปฏิบัติง่าย รู้ง่ายเขาก็ทำของเขามา เขาเสียสละของเขามา ไอ้เรามันครึ่งๆ กลางๆไอ้ของเรากว่าจะหายใจได้แต่ละทีมันจะทุกข์จะยากขนาดไหนเราก็ทำของเรามา แต่ในปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญาไงถ้ามีสติปัญญาเราพยายามทำของเราไง เราพยายามทำของเรา พยายามเพิ่มพูนบารมีของเรา เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเราถ้ามันทำด้วยหัวใจ ทำด้วยความเต็มใจนะมันไม่ต้องมีใครมาช่วยเหลือ ไม่ต้องมีใครมาเจือจานหรอก

ไอ้ช่วยเหลือเจือจานมันปลายเหตุ ไอ้ต้นเหตุๆ ต้นเหตุคือมันทุกข์ในใจแล้วทุกข์ในใจถ้ามีสติปัญญาอย่างนั้นมันจะทุกข์จนเข็ญใจมั่งมีศรีสุขขนาดไหน มันพอใจเราทำมา เราทำมา เราทำของเรามา ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็ทำคุณงามความดีมา ถ้าสติปัญญาเราด้อยเราก็ทำความเลวร้ายมา ถ้าทำมาสิ่งใดนะ แล้วเวลาวิบากกรรมวาระกรรมมันให้ผล ให้ผลก็ยิ้มสู้มันสิ ก็เราทำมาก็ของเราทำมาถ้าเราทำมาแล้วในปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญา เราจะทำคุณงามความดีของเราทำคุณงามความดีของเรา ธรรมะมันสอนที่นี่ไง

แล้วหน้าที่การงานมันก็เป็นแค่กิริยา แค่ปัจจัยเครื่องอาศัย ชีวิตจริงๆ ชีวิตจริงคือใจเรานี่แหละชีวิตจริงคือปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วปัจจุบันนี้เกิดเป็นมนุษย์ไงเพราะความเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องมาแข่งขันในความเป็นมนุษย์นี่ไงมนุษย์ก็มีธาตุ ๔ขันธ์ ๕ มนุษย์ต้องหาอยู่หากินนี่ไง ถ้ามนุษย์หาอยู่หากิน ถ้ามนุษย์มีคุณธรรม เขาหามาแล้วเขามีทรัพย์สมบัติของเขา เขาเจือจานของเขา

เศรษฐีในสมัยพุทธกาลเขาจะมีโรงทานอยู่หน้าบ้าน ใครโรงทานใหญ่ใครโรงทานมากโรงทานของเขานะ คนทุกข์คนเข็ญใจก็มาอาศัยโรงทานนั้นเป็นที่อาศัยเศรษฐีเขาวัดกันด้วยการเสียสละเศรษฐีเขาวัดกันด้วยการเจือจานนั่นคือเศรษฐีเศรษฐีประจำรัชกาล นั่นเวลาจิตใจที่เป็นธรรมๆ ทำอะไรมันทำเป็นประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ

นี่พูดถึงว่า ถ้ามีสติมีปัญญา มีสติปัญญา ชีวิตเราไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก ไอ้ความเดือดร้อนๆ มันวิบากกรรมๆ ไง แล้วเราก็เคยเป็นเศรษฐี เราก็เคยเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เราเคยเป็นสัตว์ เราเคยเป็นทุกๆ อย่างในวัฏฏะ เราเคยเป็นมาทั้งนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย นั่นมันเป็นสัจจะเป็นความจริง ของเรามันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอย่างนั้นน่ะ นี่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะโดยจิตมันไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วถ้าพิจารณาสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสเกิดอีก ๗ ชาติ

ถ้ามันไม่มีคุณธรรม ไม่มีอกุปปธรรมไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วพอไม่มีต้นไม่มีปลาย เวลาเกิดในภพชาติใดมาอยู่ในสังคมใด อยู่ในบีบคั้นสิ่งใด ถ้าเรามีสติปัญญา เราพยายามจะหาทางออกอย่างนั้น นี่ไง พระโพธิสัตว์ๆ ถึงได้เป็นหัวหน้า เป็นผู้กระทำ เป็นผู้ชักนำให้ทำคุณงามความดีไงแล้วคุณงามความดีมันก็มีโอกาสแค่ชีวิตหนึ่ง ๑๐๐ ปี ๑๐๐ปี เราจะทำอะไรใครทำสิ่งใดได้อย่างนั้น กรรมคือการกระทำทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น ในปัจจุบันนี้มีสติปัญญา เราคัดแยกว่าจะทำหรือไม่ทำ จะทำคุณงามความดี ทำอย่างไร เรามีสติปัญญาของเรา แล้วถ้ามีสติปัญญามากขึ้นความละเอียดอ่อน เห็นไหม

ทำหน้าที่การงานพอเลี้ยงชีพ สิ่งนี้มันปัจจัย ชีวิตนี้ต้องอาศัยปัจจัย ๔ถ้าปัจจัย ๔ มันสมบูรณ์แล้วหัวใจล่ะ หัวใจหัวใจที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่ไม่มีหางเสือเลย มันไปแต่แรงขับของบุญกับกรรม ไปแรงขับ เรามีสติปัญญาของเราเราจะประพฤติปฏิบัติของเราแล้ว เราจะติดหางเสือ ติดหางเสือให้ชีวิตนี้มันไปในทางที่ถูกที่ควร ให้ชีวิตนี้มันสูงส่งขึ้น ถ้าสูงส่งขึ้น มันสูงส่งขึ้นที่ไหนถ้าสูงส่งขึ้น มันสูงส่งขึ้นที่หัวใจนี้ไง ที่จิตนี่แหละถ้ามันพิจารณาของมันไปแล้วเวลามันสำรอกมันคาย สังโยชน์๓ อีก ๗ ชาติเท่านั้นนะ อีก ๗ชาติ แล้วถ้ามันมีความสามารถชาตินี้เลย

แล้วเวลามันพิจารณาไปสักกายทิฏฐิวิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง กามราคะปฏิฆะขาดไป รูปราคะ อรูปราคะมานะ อุทธัจจะอวิชชา โดยธรรมชาติของอวิชชา เราเสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา สำคัญตนว่าต่ำกว่าเขาเราต่ำกว่าเขาสำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขาสำคัญตนว่าสูงกว่าเขา เราสูงกว่าเขา สำคัญตนว่าสูงกว่าเขาสำคัญตนว่าต่ำกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา

เราจะต่ำกว่าเขา จะเสมอเขา หรือจะสูงกว่าเขา ถ้าไม่สำคัญ ความสำคัญไง มันต้องมีอยู่แล้ว คนเรามันต้องมีไม่เสมอกันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แล้วเราไปสำคัญตนทำไม เราไปสำคัญให้มันเป็นทิฏฐิมานะเกิดขึ้นมาเป็นรูปเป็นภวาสวะ เป็นภพ เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนกันทำไม ถ้าคนมีสติมีปัญญานะแต่จะมีสติปัญญามากขนาดไหนมันถึงจะเข้ามาถึงภวาสวะ ถึงภพ ถึงปฏิสนธิจิตอันนี้ได้ ถ้าถึงปฏิสนธิจิตอันนี้ได้มันต้องมีมรรคมีผลของมัน การกระทำแบบนี้ต่างหากที่ว่ามันจะติดหางเสือๆ ถ้าจิตนี้มันได้ติดหางเสือ จิตนี้มีมรรคมีผลขึ้นไปแล้ว จิตนี้ จิตนี้เป็นธรรมธาตุๆมันจะไปไหนของมันไง

แต่ถ้ามันมีแรงขับ แรงขับคือความไม่รู้ คือมีพลังงานอยู่ มันต้องไปของมันพลังงานในหัวใจนี้ ถ้าเรามาศึกษาธรรมะศึกษาธรรมะแบบนี้ นี่พูดถึงศึกษาธรรมนะ

ธรรมะเป็นธรรมชาติๆสรรพสิ่งนี้เป็นธรรมชาติหมดเลย แต่กูไม่ใช่ธรรมชาติ กูเหนือ กูจะเอา

แต่ถ้าเป็นธรรมชาติๆแล้วใจนี้ล่ะ ไอ้ความอยากได้อยากดีนั่นน่ะธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติของความมักใหญ่ใฝ่สูงธรรมชาติของความไม่รู้ นี่สำคัญตนๆ ไงถ้าธรรมชาติอันนั้นมันย้อนกลับเข้ามาอันนี้ไง ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ใจเราก็ต้องเป็นธรรมชาติสิ เห็นไหม เห็นมันหรือไม่ เห็นความคิดหรือไม่ เห็นความเป็นไปหรือไม่ ถ้าไม่เห็นมันจะทำงานอย่างไร คนทำงานต้องมีสถานที่ทำงานเดี๋ยวนี้ทำงานที่บ้าน ทำงานที่แป้น มันก็ต้องทำงานที่ใจ

ถ้าใจมันทำงานได้นะ ถ้าใจมันทำงานได้พวกเราประพฤติปฏิบัติ เขาเรียกว่าภาวนาเป็นภาวนาเป็นนะมันมีเหตุมีผลภาวนาเป็นมันไปตามหลักการภาวนาไม่เป็นตามความจำตามความศึกษามาจากพระไตรปิฎกแล้วเถียงปากเปียกปากแฉะ “พุทธพจน์ๆ” พออ้างพุทธพจน์ ใครอย่าเถียงนะ ถ้าใครเถียงถือว่าลบหลู่พระพุทธเจ้า

แต่ไม่ใช่ลบหลู่กิเลสมึงน่ะ ลบหลู่ความสำคัญของมึงน่ะไม่ใช่ลบหลู่พระพุทธเจ้า สาธุพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นศาสดาของเรา เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เราเชิดชูบูชาทั้งนั้นน่ะ แต่ความสำคัญตนความยึดมั่นถือมั่นอันนั้นผิดแล้วถ้ามันจะถูกมันจะถูกอย่างไร

ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติเอ็งต้องเห็นตรงนี้ด้วย ถ้าเอ็งไม่เห็นตรงนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติ มันแปรสภาพของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นน่ะ ไม่มีสิ่งใดคงที่ สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นธรรมชาติ มันก็ต้องเป็นความทุกข์ด้วย ถ้ามันเป็นธรรมชาติธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะต้องทุกข์ ว่าอย่างนั้นเลย แต่ถ้าธรรมะตามความจริง ไม่สำคัญตน ไม่สำคัญสิ่งใดๆ นี่ไง มันต้องเป็นโดยความเป็นจริงมันถึงเหนือโลกเหนือสงสารไม่อย่างนั้นมันอยู่ใต้โลกใต้สงสาร แล้วปากเปียกปากแฉะ“พุทธพจน์ๆ”

สาธุ เราก็ศึกษา ทุกคนก็ศึกษา ไม่ศึกษาไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อจะมาบวชหรือ ไม่ศึกษา เราจะมีเจตนา มีศรัทธามาทำบุญนี่หรือเราจะมีศรัทธาเพื่อบุญกุศลของเราหรือ เราทำเพื่อใครล่ะ ก็ทำเพื่อชีวิตนี้ไงเพราะชีวิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะชีวิตนี้ให้มีหลักมีเกณฑ์ ชีวิตนี้ให้ติดหางเสือ ชีวิตนี้พาให้เรารอดไปได้ รอดไปได้เพราะอะไรเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนให้ใจของมนุษย์ฝึกหัดพิจารณา ให้หัวใจของมนุษย์นั้นพิจารณาแก้ไขในหัวใจนั้น ถ้ามันสิ้นสุดที่หัวใจนั้น นี่คือสัจธรรม เอวัง